เป้าหมายและผลการดำเนินงาน

ผลการดำเนินงาน
17.0%
ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกขอบเขตที่ 1 2 และ 3
เป้าหมาย
46.2%
ปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ขอบเขตที่ 1 2 และ 3 ที่ลดลงได้เมื่อเทียบกับปีฐาน 2562
ผลการดำเนินงาน
บริษัทฯ ลดการปล่อย GHG ผ่านโครงการพลังงานหมุนเวียน (เช่น Solar Rooftop)
เป้าหมาย
บริษัทฯ ตั้งเป้าหมายบรรลุ Net Zero ภายในปี 2593

ความท้าทายและโอกาสทางธุรกิจ

โลกกำลังก้าวเข้าสู่ยุคที่การลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกไม่ใช่แค่ทางเลือก แต่เป็นความจำเป็นที่ทุกภาคส่วนต้องร่วมมือกัน อย่างไรก็ตาม บริษัท เซ็นทรัลพัฒนา จำกัด (มหาชน) ตระหนักดีว่าการเปลี่ยนผ่านสู่เศรษฐกิจคาร์บอนต่ำไม่ได้เกิดขึ้นเพียงชั่วข้ามคืน แต่ต้องอาศัยการลงทุน เทคโนโลยี และความร่วมมือจากทุกภาคส่วน ซึ่งหนึ่งในความท้าทายที่สำคัญ คือการลงทุนในมาตรการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกที่ต้องใช้ต้นทุนสูงในระยะเริ่มต้น ในขณะเดียวกัน บริษัทฯ ต้องเตรียมพร้อมรับมือกับต้นทุนที่อาจเพิ่มขึ้นจากค่าธรรมเนียมคาร์บอนในอนาคต หากมาตรการที่มีอยู่ไม่เพียงพอ อีกทั้งการเดินหน้าสู่เป้าหมาย Net Zero ยังต้องอาศัยความร่วมมือจากคู่ค้าและผู้เช่าในการปรับกระบวนการผลิตและลงทุนในเทคโนโลยีสีเขียว ซึ่งอาจกระทบต่อต้นทุนสินค้า บริการ และค่าเช่า นอกจากนี้ ความเสี่ยงทางกายภาพจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ เช่น น้ำท่วมและภัยแล้ง อาจส่งผลกระทบต่อการดำเนินธุรกิจ รวมถึงกฎระเบียบด้านสิ่งแวดล้อมที่มีแนวโน้มเข้มงวดขึ้น ซึ่งต้องการการปรับตัวอย่างต่อเนื่อง

อย่างไรก็ตาม ท่ามกลางความท้าทายเหล่านี้ บริษัท เซ็นทรัลพัฒนา จำกัด (มหาชน) ได้เล็งเห็นถึงโอกาส ไม่ว่าจะเป็นการใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพและการลดการใช้ทรัพยากรไม่เพียงช่วยลดต้นทุนระยะยาว แต่ยังเป็นการเสริมสร้างภาพลักษณ์องค์กรในฐานะผู้นำด้านความยั่งยืน นอกจากนี้ บริษัทฯ ยังสามารถสร้างความเชื่อมั่นให้กับผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย พร้อมดึงดูดลูกค้าที่ให้ความสำคัญกับสิ่งแวดล้อม นอกจากนี้ บริษัทฯ ยังให้ความสำคัญต่อการปลูกฝังความตระหนักรู้ให้กับพนักงานทุกคนเกี่ยวกับผลกระทบของการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ เพื่อให้ทุกภาคส่วนภายในองค์กรมีบทบาทในการขับเคลื่อนความยั่งยืนไปพร้อมกัน

การใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพและการลดการใช้ทรัพยากรไม่เพียงช่วยลดต้นทุนระยะยาว

แต่ยังเป็นการเสริมสร้างภาพลักษณ์องค์กรในฐานะผู้นำด้านความยั่งยืน

แนวทางการบริหารจัดการและการสร้างคุณค่า

การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก: มุ่งสู่เป้าหมาย Net Zero

บริษัท เซ็นทรัลพัฒนา จำกัด (มหาชน) ตระหนักถึงความรับผิดชอบในการลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมผ่านแนวทางการจัดการก๊าซเรือนกระจกอย่างเป็นระบบ บริษัทฯ มุ่งมั่นพัฒนาและปรับปรุงมาตรการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกควบคู่ไปกับการเพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงาน โดยดำเนินการตามมาตรฐานสากล เช่น การประเมินคาร์บอนฟุตพริ้นท์ขององค์กร (Carbon Footprint for Organization: CFO) ตามมาตรฐาน ISO 14064-1 เพื่อให้สามารถติดตามและควบคุมการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในทุกกระบวนการได้อย่างแม่นยำ นอกจากนี้ บริษัทฯ ได้กำหนดเส้นทางสู่ Net Zero (Net Zero Pathway) ด้วยเป้าหมายระยะสั้นภายในปี 2573 และเป้าหมายระยะยาวภายในปี 2593 โดยมุ่งเน้นการลดคาร์บอนจากทั้งการดำเนินงานโดยตรง (Operational Carbon) และจากวัสดุและการก่อสร้าง (Embodied Carbon) เพื่อให้การดำเนินงานของบริษัทฯ ส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมน้อยที่สุด

การพัฒนาแผน Net Zero Pathway ตามแนวทาง SBTi

บริษัทฯ ได้ประกาศเป้าหมายในการไปสู่การปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ในปี 2593 โดยยื่นเจตจำนงค์กับ Science Based Targets Initiative (SBTi) ในการพัฒนา Net Zero Pathway ภายใต้แนวทางการกำหนดเป้าหมายควบคุมการเพิ่มขึ้นของอุณหภูมิเฉลี่ยโลกให้ต่ำกว่า 1.5 องศาเซลเซียส เป็นที่เรียบร้อยแล้ว โดยวางแผนขอการรับรองตามแนวทางของ SBTi ให้แล้วเสร็จภายในปี 2568 นอกจากนั้น บริษัทฯ ยังสนับสนุนนโยบายของประเทศไทยและเป้าหมายของประชาคมโลกภายใต้ความตกลงปารีส ผ่านการดำเนินงานภายใต้เครือข่ายคาร์บอนนิวทรัลประเทศไทย ในฐานะ “องค์กรผู้นำด้านการจัดการก๊าซเรือนกระจก” (Climate Action Leading Organization) ขององค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก (องค์การมหาชน) ซึ่งมีเป้าหมายในการผลักดันภาคอุตสาหกรรมและภาคบริการในประเทศไทยมุ่งสู่ความเป็นกลางทางคาร์บอน และการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ โดยบริษัทฯ ได้รับโล่ประกาศเกียรติคุณองค์กรผู้นำฯ ในระดับสูงสุด (ในหมวดตรวจวัด และการลดก๊าซเรือนกระจก) และเข้าร่วมเป็นคณะกรรมการชุดก่อตั้ง RE100 Thailand Club เพื่อแสดงเจตนารมณ์ที่ชัดเจนในการขับเคลื่อนการใช้พลังงานหมุนเวียนให้ได้ร้อยละ 100 ให้ได้เร็วที่สุดอีกด้วย

แผนระยะใกล้ในการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกขอบเขตที่ 1 และ 2 ภายในปี 2573 อ้างอิงจากเส้นทางสู่การเป็นองค์กรที่ปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ในปี 2593 ตามแนวทาง SBTi
การดำเนินการเพื่อลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก

จากการยื่นเจตจำนงค์ในการเป็นองค์กรที่ปล่อยคาร์บอนสุทธิเป็นศูนย์ในปี 2593 ตามแนวทาง SBTi ส่งผลให้บริษัทฯ ได้กลับมาทบทวนนโยบาย และแผนงานที่จะขับเคลื่อนสู่การเป็นองค์กรฯ ดังกล่าว โดยเฉพาะนโยบายในการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ให้ครอบคลุมครบทั้งขอบเขตที่ 1 2 และ 3 และแบ่งกรอบในการดำเนินการเพื่อลดก๊าซเรือนกระจกทั้ง 3 ขอบเขตดังกล่าวออกเป็น 2 ส่วนหลักๆ คือ การลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกจากการดำเนินงาน และจากการก่อสร้าง

การลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกจากการดำเนินงาน

สัดส่วนการปล่อยก๊าซเรือนกระจกจากการดำเนินงานขององค์กรปี 2567

จากการวิเคราะห์ปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกของบริษัทฯ ในปี 2567 พบว่า สัดส่วนการปล่อยก๊าซเรือนกระจกจากการดำเนินงาน (Scope 1 และ Scope 2) คิดเป็น 40% โดยมาจากการใช้พลังงานไฟฟ้าเป็นหลัก ส่วนที่เหลืออีก 60% เป็นการปล่อยใน Scope 3 ซึ่งส่วนใหญ่เกิดจากการใช้พลังงานไฟฟ้าและก๊าซหุงต้มของร้านค้า (คิดเป็นรวม 41% ของ Scope 3) และการจัดการขยะฝังกลบ (19%) โดยไม่มีการปล่อยใน Scope 1 จากการเผาไหม้เชื้อเพลิงหรือฟลูออโรคาร์บอนภายในองค์กร

การลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกจากการดำเนินงาน (Scope 2)

บริษัทฯ ดำเนินมาตรการลดการใช้พลังงานไฟฟ้าอย่างต่อเนื่องภายใต้แผนอนุรักษ์พลังงานในศูนย์การค้าทั่วประเทศ โดยในปี 2567 มีการดำเนินมาตรการรวมทั้งสิ้น 54 โครงการ คิดเป็นเงินลงทุนรวม 75 ล้านบาท ซึ่งตั้งเป้าหมายลดการใช้ไฟฟ้าได้ 5,655 เมกะวัตต์-ชั่วโมงต่อปี และดำเนินการแล้วเสร็จแล้ว 45 โครงการ คิดเป็นร้อยละ 83

นอกจากนี้ บริษัทฯ ยังเพิ่มประสิทธิภาพด้านพลังงานโดยการใช้เทคโนโลยีและแนวทางการออกแบบใหม่ เช่น การปรับปรุงระบบปรับอากาศให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น การติดตั้งแผงโซลาร์เซลล์ และการออกแบบอาคารให้มีคุณสมบัติกันความร้อน (Passive Design) เพื่อช่วยลดการใช้พลังงานตั้งแต่ต้นทางของโครงการ

สำหรับการใช้พลังงานจากแหล่งหมุนเวียน บริษัทฯ ได้ติดตั้งระบบผลิตไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์ในอาคารใหม่ โดยหนึ่งในโครงการที่เปิดดำเนินการในปี 2567 มีกำลังการผลิตติดตั้งรวม 1.535 เมกะวัตต์พีค (MWp) ซึ่งสามารถผลิตไฟฟ้าได้คิดเป็น ร้อยละ 10 ของการใช้พลังงานไฟฟ้าทั้งหมดในอาคารนั้น

จากผลรวมของมาตรการต่าง ๆ ทำให้บริษัทฯ มีความคืบหน้าในการลดการใช้พลังงานอย่างมีนัยสำคัญ และสร้างผลลัพธ์เชิงบวกต่อการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในขอบเขตที่ 2 อย่างต่อเนื่องตามเป้าหมายระยะกลางและแผน Net Zero 2593

การลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกจากห่วงโซ่คุณค่า (Scope 3)

ในปี 2567 บริษัท เซ็นทรัลพัฒนา จำกัด (มหาชน) ดำเนินมาตรการเพื่อลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกจากห่วงโซ่คุณค่า (Scope 3) อย่างต่อเนื่องและเป็นระบบ โดยจากการประเมินพบว่า Scope 3 คิดเป็นสัดส่วนสูงถึงร้อยละ 61 ของการปล่อยก๊าซเรือนกระจกทั้งหมดขององค์กร โดยมีแหล่งหลักมาจากการใช้พลังงานไฟฟ้าโดยร้านค้าในศูนย์การค้า และการกำจัดขยะฝังกลบ

บริษัทฯ ได้ขยายผลโครงการ Central Pattana Green Partnership สู่ปีที่ 2 ภายใต้แนวคิด “รู้จริง ช่วยจริง ลดจริง” โดยร่วมมือกับพันธมิตรทางธุรกิจเพื่อสนับสนุนการลดการใช้พลังงานและลดของเสียในกระบวนการดำเนินธุรกิจของร้านค้า ภายในปี 2567 มีร้านค้าเข้าร่วมโครงการมากถึง 2,250 ร้านค้า จาก 165 แบรนด์ โดยบริษัทฯ ได้ให้การสนับสนุนทั้งด้านองค์ความรู้ การวัดผลการดำเนินงาน และเครื่องมือในการวางแผนลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก โดยตั้งเป้าหมายลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกจากกิจกรรมของผู้เช่ามากกว่า 700 ตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่าต่อปี

นอกจากนั้น บริษัทฯ ยังมุ่งส่งเสริมการเดินทางที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมผ่านการติดตั้งสถานีชาร์จรถยนต์ไฟฟ้า (EV Charging Station) ในศูนย์การค้าทั่วประเทศ โดยในปี 2567 มีการติดตั้งรวม 537 ช่องจอด ใน 40 ศูนย์การค้า เพิ่มขึ้นจากปีก่อนกว่าร้อยละ 60 พร้อมเพิ่มสัดส่วนสถานีชาร์จแบบเร็ว (DC Fast Charging) เพื่อรองรับความต้องการที่เติบโตอย่างรวดเร็ว ซึ่งจากการคำนวณพบว่าสามารถลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้ประมาณ 3,070 ตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่าต่อปี จากการลดการใช้เชื้อเพลิงฟอสซิลในภาคการขนส่ง

ในอีกมิติหนึ่ง บริษัทฯ ได้เสริมประสิทธิภาพการบริหารจัดการ Scope 3 ด้วยการใช้เทคโนโลยีดิจิทัล เช่น ระบบ SERVE สำหรับการติดตามการใช้พลังงานของร้านค้าแบบเรียลไทม์ และระบบอัจฉริยะที่ผสาน AI และ IoT ในการบริหารจัดการพลังงานและระบบทำความเย็น ซึ่งช่วยลดการใช้ไฟฟ้าโดยไม่กระทบต่อการให้บริการ ทั้งยังช่วยสนับสนุนการวางแผนการใช้พลังงานอย่างยั่งยืนระยะยาว

การดำเนินงานเหล่านี้นับเป็นกลยุทธ์สำคัญที่ช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในห่วงโซ่คุณค่าอย่างเป็นรูปธรรม และสะท้อนถึงความตั้งใจของบริษัทฯ ในการสร้างความร่วมมือกับพันธมิตรทางธุรกิจเพื่อมุ่งสู่เป้าหมาย Net Zero ภายในปี 2593 อย่างมีประสิทธิภาพ

การเสริมสร้างความตระหนักรู้ในองค์กร

บริษัท เซ็นทรัลพัฒนา จำกัด (มหาชน) ให้ความสำคัญกับการยกระดับความรู้ ความเข้าใจ และการสร้างจิตสำนึกด้านการจัดการสิ่งแวดล้อมและการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศให้กับพนักงานในทุกระดับอย่างต่อเนื่อง โดยในปี 2567 บริษัทฯ ได้จัดอบรมด้านการจัดการพลังงาน จำนวน 21 หลักสูตร มีผู้เข้าร่วมอบรมรวมทั้งสิ้น 1,771 คน (นับซ้ำ) คิดเป็นร้อยละ 32.8 ของจำนวนพนักงานทั้งหมด นอกจากนี้ ยังมีการอบรมด้านสิ่งแวดล้อมเพิ่มเติมอีก 7 หลักสูตร มีผู้เข้าร่วมอบรมจำนวน 288 คน (นับซ้ำ)

หัวข้อการอบรมครอบคลุมถึงการจัดการพลังงานตามมาตรฐาน ISO 50001 การจัดการสิ่งแวดล้อมตามมาตรฐาน ISO 14001 การประเมินผลกระทบจากการปล่อยก๊าซเรือนกระจก และแนวทางการวางแผนลดคาร์บอนในระดับองค์กร โดยเน้นการประยุกต์ใช้จริงในสายงาน พร้อมส่งเสริมให้พนักงานสามารถแยกแยะแหล่งกำเนิดคาร์บอนที่มีนัยสำคัญ และมีส่วนร่วมในการกำหนดแนวทางลดผลกระทบจากกิจกรรมของตน

นอกจากนี้ บริษัทฯ ยังส่งเสริมให้พนักงานมีส่วนร่วมกับการใช้พลังงานสะอาดภายในครัวเรือนและชุมชน ผ่านกิจกรรมสื่อสารภายใน อาทิ การให้ความรู้เกี่ยวกับการติดตั้งโซลาร์รูฟ การประหยัดพลังงานในบ้าน และการเลือกซื้อผลิตภัณฑ์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม โดยดำเนินงานร่วมกับพันธมิตรด้านพลังงานสะอาดภายนอกองค์กร

กิจกรรมเหล่านี้นอกจากจะช่วยเสริมสร้างขีดความสามารถในการปฏิบัติงานด้านความยั่งยืนของบุคลากรภายในองค์กรแล้ว ยังเป็นกลไกสำคัญที่ทำให้การเปลี่ยนผ่านสู่การดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืนเป็นไปอย่างเป็นรูปธรรม โดยมีพนักงานเป็นแรงขับเคลื่อนที่สำคัญในการบรรลุเป้าหมาย Net Zero ขององค์กรภายในปี 2593

การลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกจากการก่อสร้าง

บริษัทได้ดำเนินมาตรการลดการใช้ไฟฟ้าในศูนย์การค้าทั่วประเทศอย่างต่อเนื่องภายใต้แผนอนุรักษ์พลังงาน โดยในปี 2024 มีโครงการทั้งหมด 54 โครงการ ซึ่งใช้งบลงทุนรวม 75 ล้านบาท มีเป้าหมายเพื่อลดการใช้พลังงานไฟฟ้าลง 5,655 เมกะวัตต์-ชั่วโมง (MWh) ต่อปี และในช่วงระยะเวลารายงาน มีโครงการที่ดำเนินการแล้วเสร็จจำนวน 45 โครงการ คิดเป็นร้อยละ 83 ของทั้งหมด

ประสิทธิภาพด้านพลังงานได้รับการพัฒนาเพิ่มเติมผ่านการนำเทคโนโลยีและแนวทางการออกแบบใหม่ ๆ มาใช้ ซึ่งรวมถึงการปรับปรุงระบบปรับอากาศ การติดตั้งแผงโซลาร์เซลล์ และการใช้แนวคิดการออกแบบเชิงรับเพื่อลดการสะสมความร้อน—ซึ่งช่วยลดการใช้พลังงานตั้งแต่ต้นทางของแต่ละโครงการ

การใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพได้รับการพัฒนาเพิ่มเติมผ่านการนำเทคโนโลยีใหม่และแนวทางการออกแบบมาใช้ รวมถึงการปรับปรุงระบบปรับอากาศ การติดตั้งแผงโซลาร์เซลล์ และการใช้แนวคิดการออกแบบแบบพาสซีฟเพื่อลดความร้อนสะสม—ซึ่งช่วยลดการใช้พลังงานตั้งแต่เริ่มต้นของแต่ละโครงการ

เกี่ยวกับการใช้พลังงานหมุนเวียน บริษัทได้ติดตั้งระบบพลังงานแสงอาทิตย์ (Solar PV) ในโครงการที่เปิดใหม่ โดยหนึ่งในโครงการที่เปิดตัวในปี 2024 มีการติดตั้งระบบที่มีกำลังการผลิต 1.535 เมกะวัตต์พี (MWp) ซึ่งสามารถผลิตไฟฟ้าได้เทียบเท่ากับ 10% ของการใช้พลังงานทั้งหมดของอาคาร

การดำเนินการเหล่านี้สะท้อนถึงความก้าวหน้าที่สำคัญในการลดการใช้ไฟฟ้า และยังคงมีส่วนช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในขอบเขตที่ 2 (Scope 2 GHG emissions) อย่างต่อเนื่อง สนับสนุนเป้าหมายระยะกลางของบริษัท และแผนงานสู่การปล่อยคาร์บอนสุทธิเป็นศูนย์ภายในปี 2050 (Net Zero 2050 Roadmap)

ขอบเขตที่ 3: การลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก (GHG) ในห่วงโซ่คุณค่า

ในปี 2567 เซ็นทรัลพัฒนาได้ดำเนินมาตรการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในขอบเขตที่ 3 อย่างเป็นระบบอย่างต่อเนื่อง ซึ่งพบว่าคิดเป็น 61% ของการปล่อยทั้งหมดของบริษัท แหล่งที่มาหลักมาจากการใช้ไฟฟ้าของผู้เช่าพื้นที่ค้าปลีก และการกำจัดขยะในหลุมฝังกลบ

บริษัทได้ขยายโครงการ Central Pattana Green Partnership Initiative เข้าสู่ปีที่สอง ภายใต้แนวคิด “รู้จัก ปฏิบัติ และลดให้ได้จริง” โดยมุ่งเน้นการร่วมมือกับพันธมิตรทางธุรกิจในการลดการใช้พลังงานและการเกิดขยะในกิจกรรมค้าปลีก ในปี 2567 มีร้านค้าเข้าร่วมจำนวน 2,250 ร้าน จาก 165 แบรนด์ บริษัทได้ให้การสนับสนุนด้านการถ่ายทอดความรู้ เครื่องมือในการติดตามผล และการวางแผนการลดคาร์บอน โดยตั้งเป้าลดการปล่อยคาร์บอนจากกิจกรรมของผู้เช่าได้มากกว่า 700 ตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า (tCO₂e) ต่อปี

นอกจากนี้ บริษัทยังส่งเสริมการคมนาคมแบบยั่งยืน โดยการขยายจุดชาร์จรถยนต์ไฟฟ้า (EV) ในปี 2567 มีการติดตั้งช่องชาร์จจำนวน 537 ช่องในศูนย์การค้า 40 แห่ง เพิ่มขึ้น 60% จากปีก่อนหน้า และยังได้เพิ่มจำนวนสถานีชาร์จแบบเร็ว (DC fast-charging) เพื่อรองรับความต้องการที่เพิ่มขึ้น ความพยายามเหล่านี้ช่วยหลีกเลี่ยงการปล่อยคาร์บอนจากการใช้เชื้อเพลิงฟอสซิลในการคมนาคมได้ประมาณ 3,070 tCO₂e ต่อปี

เพื่อยกระดับการบริหารจัดการการปล่อย GHG ขอบเขตที่ 3 บริษัทได้นำเทคโนโลยีดิจิทัลมาใช้ เช่น แพลตฟอร์ม SERVE สำหรับการติดตามการใช้พลังงานของผู้เช่าแบบเรียลไทม์ และระบบอัจฉริยะที่ใช้ AI และ IoT เพื่อบริหารจัดการพลังงานและการทำความเย็นอย่างมีประสิทธิภาพ เทคโนโลยีเหล่านี้ช่วยลดการใช้ไฟฟ้าโดยไม่กระทบต่อประสบการณ์ของลูกค้า และสนับสนุนการวางแผนพลังงานอย่างยั่งยืนในระยะยาว

ความริเริ่มทั้งหมดนี้เป็นส่วนสำคัญของกลยุทธ์ในการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในห่วงโซ่คุณค่า และสะท้อนถึงความมุ่งมั่นของบริษัทในการร่วมมือกับผู้มีส่วนได้ส่วนเสียเพื่อบรรลุเป้าหมาย Net Zero ภายในปี 2593 อย่างมีประสิทธิภาพและวัดผลได้

การเพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงานเพื่อลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก

บริษัท เซ็นทรัลพัฒนา จำกัด (มหาชน) ตระหนักดีว่าการใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพเป็นปัจจัยสำคัญในการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก บริษัทฯ จึงได้ดำเนินมาตรการเพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงานผ่านการติดตั้งระบบ Building Management System (BMS) เพื่อควบคุมและบริหารจัดการพลังงานในศูนย์การค้าให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด

นอกจากนี้ ยังมีการอัปเกรดอุปกรณ์และระบบต่าง ๆ อย่างต่อเนื่อง เช่น การใช้หลอดไฟ LED ประสิทธิภาพสูง และ ระบบปรับอากาศอัจฉริยะ (Smart HVAC System) ซึ่งช่วยลดการใช้พลังงานโดยไม่กระทบต่อประสบการณ์ของผู้ใช้งาน มากไปกว่านั้น บริษัทฯ ยังเลือกใช้ สารทำความเย็นที่มีค่าศักยภาพในการทำให้เกิดภาวะโลกร้อน (Global Warming Potential: GWP) ต่ำ และมี ระดับการทำลายโอโซน (Ozone Depletion Potential: ODP) เท่ากับศูนย์ เพื่อลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมในระยะยาว

การใช้พลังงานหมุนเวียนเพื่อลดการพึ่งพาพลังงานฟอสซิล

บริษัท เซ็นทรัลพัฒนา จำกัด (มหาชน) ให้ความสำคัญกับการเพิ่มสัดส่วนพลังงานหมุนเวียนภายในองค์กร โดยติดตั้งระบบผลิตไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์บนหลังคาศูนย์การค้า (Solar Rooftop) และลานจอดรถ (Solar Carpark) เพื่อใช้พลังงานสะอาดในการดำเนินงาน

นอกจากนี้ ยังศึกษาแนวทาง ระบบผลิตไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์แบบลอยน้ำ (Solar Floating) ในพื้นที่แหล่งน้ำที่เหมาะสม เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการผลิตพลังงานหมุนเวียนให้ได้มากที่สุด บริษัทฯ ยังได้มีการติดตั้ง สถานีชาร์จรถยนต์ไฟฟ้า (EV Charger Station) ในศูนย์การค้าหลายแห่ง เพื่ออำนวยความสะดวกแก่ลูกค้าและลดการเผาไหม้น้ำมันเชื้อเพลิง ซึ่งเป็นอีกหนึ่งมาตรการสำคัญในการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกจากการคมนาคม

การใช้เทคโนโลยีดิจิทัลเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการลดคาร์บอน

ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา บริษัท เซ็นทรัลพัฒนา จำกัด (มหาชน) มีการลงทุนในเทคโนโลยีดิจิทัล เพื่อสนับสนุนการบริหารจัดการพลังงานและลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก โดยมีการพัฒนาแพลตฟอร์ม SERVE ที่เพิ่มฟีเจอร์การรายงานข้อมูล เพื่อให้ผู้เช่าสามารถตรวจสอบและติดตามปริมาณการใช้ไฟฟ้าอย่างมีประสิทธิภาพและสม่ำเสมอ

นอกจากนี้ บริษัทฯ ยังนำ AI และ IoT มาใช้ในการบริหารจัดการระบบทำความเย็น (Chiller Plant Management) เพื่อลดการใช้พลังงาน และใช้ ระบบ Energy Management Information System (EMIS) ในการวิเคราะห์ข้อมูลการใช้พลังงานแบบเรียลไทม์

การส่งเสริมความร่วมมือกับพันธมิตรเพื่อสิ่งแวดล้อมที่ยั่งยืน

เพื่อให้การดำเนินงานด้านการจัดการก๊าซเรือนกระจกเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ ความร่วมมือกันระหว่างภาคส่วนต่าง ๆ เป็นสิ่งสำคัญ บริษัท เซ็นทรัลพัฒนา จำกัด (มหาชน) จึงมุ่งมั่นส่งเสริมความร่วมมือระหว่างพันธมิตรทางธุรกิจผ่านโครงการ Green Partnership เพื่อสร้างเครือข่ายพันธมิตรร้านค้าที่ให้ความสำคัญกับการลดการใช้พลังงาน โดยให้ความรู้และคำแนะนำแก่ร้านค้าเกี่ยวกับโซลูชันในการประหยัดพลังงาน และส่งเสริมการประชาสัมพันธ์ร้านค้าที่ดำเนินธุรกิจอย่างเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม

นอกจากนี้ บริษัทยังได้เพิ่มความร่วมมือกับคู่ค้า เพื่อยกระดับการจัดซื้อจัดจ้างสีเขียว (Green Procurement) โดยเพิ่มสัดส่วนการใช้สินค้าที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมในกระบวนการดำเนินงานของบริษัทฯ

Climate Risk Assessment and Strategic Planning

ควบคู่ไปกับการดำเนินงานเชิงปฏิบัติ บริษัทฯ ยังให้ความสำคัญกับการประเมินความเสี่ยงด้านสภาพภูมิอากาศในเชิงระบบ โดยน้อมนำแนวทางของ Task Force on Climate-related Financial Disclosures (TCFD) มาปรับใช้ในการวิเคราะห์ความเสี่ยงและการเปิดเผยข้อมูลด้านสิ่งแวดล้อม โดยเฉพาะในสองมิติหลัก ได้แก่

  • ความเสี่ยงทางกายภาพ (Physical Risks) อาทิ ความเสี่ยงจากอุทกภัย ภัยแล้ง และคลื่นความร้อน
  • ความเสี่ยงจากการเปลี่ยนผ่าน (Transition Risks) เช่น มาตรการด้านภาษีคาร์บอน มาตรฐานการปล่อยก๊าซเรือนกระจก และแรงกดดันจากภาคการเงินและนักลงทุน

ผลจากการประเมินดังกล่าวได้ถูกนำไปใช้ในการปรับกลยุทธ์ธุรกิจให้สามารถรับมือกับบริบทที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว และยังช่วยเสริมการวางแผนลงทุนเชิงป้องกันในโครงการที่ตั้งอยู่ในพื้นที่เสี่ยง ตลอดจนกำหนดแนวทางความร่วมมือกับพันธมิตรทางธุรกิจ เพื่อให้สามารถปรับตัวต่อเศรษฐกิจคาร์บอนต่ำในอนาคตได้อย่างยืดหยุ่นและมีประสิทธิภาพ

ผู้มีส่วนได้เสียที่เกี่ยวข้อง

ผู้ประกอบการร้านค้าผู้เช่าอาคาร ลูกค้าโครงการที่พักอาศัย
พนักงาน
ลูกค้า
คู่ค้าและพันธมิตรทางธุรกิจ
ชุมชน / ตัวแทนชุมชน รวมหน่วยงานกำกับ ภาครัฐ ภาคการศึกษา องค์กรอิสระ
ผู้ถือหุ้น
เจ้าหนี้